ก้าวแรก
หลายๆคนก็มีความฝันที่แตกต่างกันไป
ส่วนในความฝันของแบดนั้นก็อยากจะเป็นหมอ
แต่กว่าจะได้เป็นหมอนั้นต้องผ่านสนามสอบต่างๆอีกทั้งความยากลำบากในการฝ่าฟันไปถึงจุดหมายไว้
หากเพื่อนๆอยากรู้มาต้องผ่านอะไรไปบ้างก็ไปอ่านกันเลยย *-*
![]() |
จะสอบเข้า "หมอ" ต้องสอบอะไร?
- เกรดเฉลี่ย ทั้ง GPAX และ GPA (ควรมากกว่า 3.00)
- ผลสอบ BMAT
- ผลสอบภาษาอังกฤษ TOFEL, IELTS, CU-TEP, TU-GET, CMU-eTEG
- ผลสอบ GAT, PAT 1, PAT 2
- ผลสอบวิชาสามัญ 7 วิชาหลัก
- ผลสอบ O-NET
- วิชาเฉพาะแพทย์ กสพท
- Portfolio
- เตรียมพร้อมการสอบสัมภาษณ์ (มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ)
- เกรดเฉลี่ย ทั้ง GPAX และ GPA (ควรมากกว่า 3.00)
- ผลสอบ BMAT
- ผลสอบภาษาอังกฤษ TOFEL, IELTS, CU-TEP, TU-GET, CMU-eTEG
- ผลสอบ GAT, PAT 1, PAT 2
- ผลสอบวิชาสามัญ 7 วิชาหลัก
- ผลสอบ O-NET
- วิชาเฉพาะแพทย์ กสพท
- Portfolio
- เตรียมพร้อมการสอบสัมภาษณ์ (มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ)
คณะแพทยศาสตร์ เรียนเกี่ยวกับอะไร?
ปี 1
เรียนแบบตามตาราง 8.00-16.00 บางวันก็เรียนไม่เต็มวัน ทำให้น้องเอาเวลาว่างไปเที่ยว ไปปาร์ตี้ หรือทำกิจกรรมส่วนตัวที่ตัวเองชอบได้ วิชาที่เรียนกันในปี 1 นั้นจะไม่เกี่ยวข้องกับหมอเลย (ยกเว้นหมอบางสถาบันอาจจะมีบางวิชาที่เกี่ยวกับหมอบ้าง) เพราะจะเน้นไปที่วิชาพวก คณิต ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เป็นหลัก คล้าย ๆ ของม.ปลายเลย แต่ว่าจะยากกว่าค่อนข้างเยอะ
ปี 2
เรียนเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเป็นหมอ อย่างจริงจัง เพราะเราจะได้เรียนทั้ง Gross anatomy, Histology, Physiology, Biochemistry ก็จะได้รู้เกี่ยวกับโครงสร้างร่างกายและการทำงานของระบบร่างกายของคนที่ปกติอย่างละเอียด ละเอียดชนิดที่เรียกว่าแม้แต่หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อในหูก็ต้องรู้จัก !!!
เรียนแบบตามตาราง 8.00-16.00 บางวันก็เรียนไม่เต็มวัน ทำให้น้องเอาเวลาว่างไปเที่ยว ไปปาร์ตี้ หรือทำกิจกรรมส่วนตัวที่ตัวเองชอบได้ วิชาที่เรียนกันในปี 1 นั้นจะไม่เกี่ยวข้องกับหมอเลย (ยกเว้นหมอบางสถาบันอาจจะมีบางวิชาที่เกี่ยวกับหมอบ้าง) เพราะจะเน้นไปที่วิชาพวก คณิต ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เป็นหลัก คล้าย ๆ ของม.ปลายเลย แต่ว่าจะยากกว่าค่อนข้างเยอะ
ปี 2
เรียนเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเป็นหมอ อย่างจริงจัง เพราะเราจะได้เรียนทั้ง Gross anatomy, Histology, Physiology, Biochemistry ก็จะได้รู้เกี่ยวกับโครงสร้างร่างกายและการทำงานของระบบร่างกายของคนที่ปกติอย่างละเอียด ละเอียดชนิดที่เรียกว่าแม้แต่หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อในหูก็ต้องรู้จัก !!!
ปี 3
ในปีที่ 2 จะเน้นไปที่ร่างกายคนที่ปกติ
คือไม่ป่วย แต่ในปีที่ 3 นี้จะได้เรียนเกี่ยวกับร่างกายของคนที่ป่วย
ว่าถ้าเป็นโรคนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงของอวัยวะอย่างไร
ถ้าเป็นโรคนี้ระบบร่างกายตรงไหนที่เปลี่ยนไป ดังนั้นเราจะเริ่มรู้จักโรคต่าง ๆ
และรู้จักเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของโรคด้วย
อีกทั้งยังจะได้เรียนเกี่ยวกับยาที่ใช้รักษาโรค แม้ว่าจะเรียนไม่ละเอียดเท่าเภสัช
แต่ก็จะได้เรียนลึกขนาดต้องรู้กลไกการออกฤทธิ์ โครงสร้างของยาบางตัวที่สำคัญ
ปี 4
ปี 4
เป็นปีแรกในการก้าวสู่ชั้นคลีนิค
เป็นปีที่เริ่มไปเรียนรู้และทดลองดูแลคนไข้ ที่โรงพยาบาลแล้ว
ซึ่งก็จะวนไปตามวอร์ดต่างๆ จนครบ เป็นปีที่ต้องตื่นเช้า และนอนดึก
ปี 5
เป็นชั้นปีที่จะวนเวียนอยู่แต่บนวอร์ดนี่
จากตอนปี 4 ซึ่งชั้นปี 5 จะไม่ได้แค่มองๆ แล้วจนตามหมอแล้ว แต่จะมีให้วินิจฉัยร่วมด้วย
เย็บแผลด้วย ช่วยทำคลอดด้วย เลคเชอร์ก็ต้องเรียน
และต้องเตรียมตัวสอบใบประกอบวิชาชีพขั้นที่ 2 ด้วย
ปี 6
ในชั้นปี 6 ก็สามารถเริ่มรักษาคนไข้ได้ สิ่งที่ต่างออกไปคือ เราจะใช้เวลาอยู่ในแต่ละหอนานขึ้น และก็มีออกไปลองเป็นหมอในโรงพยาบาลต่างจังหวัดด้วยะ ซึ่งรอบนี้ไม่มีใครช่วยแล้ว ต้องใช้ความรู้ที่เรียนมาล้วนๆ พอจบ 6 ปีก็สอบใบประกอบวิชาชีพขั้นสุดท้าย และเตรียมตัวใช้ทุนต่อไป
ปี 6
ในชั้นปี 6 ก็สามารถเริ่มรักษาคนไข้ได้ สิ่งที่ต่างออกไปคือ เราจะใช้เวลาอยู่ในแต่ละหอนานขึ้น และก็มีออกไปลองเป็นหมอในโรงพยาบาลต่างจังหวัดด้วยะ ซึ่งรอบนี้ไม่มีใครช่วยแล้ว ต้องใช้ความรู้ที่เรียนมาล้วนๆ พอจบ 6 ปีก็สอบใบประกอบวิชาชีพขั้นสุดท้าย และเตรียมตัวใช้ทุนต่อไป
สาขาของแพทย์เฉพาะทางต่างๆ
1. แพทย์กระดูก
สำหรับ แพทย์กระดูก หรือเรียกว่า “ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์
(Orthopedics)” โดยที่ประเทศไทยจะมีชื่อเรียกศัลยแพทย์ในสาขานี้มากมายหลายชื่อด้วยกัน
เช่น ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ แพทย์กระดูกและข้อ
หรือหมอกระดูก เป็นต้น หรือจะเรียกสั้นว่า “หมอออร์โธฯ” ก็ได้ แพทย์ในสาขานี้จะต้องทำการวินิจฉัยความผิดปกติเกี่ยวกับกระดูก ข้อ
เส้นเอ็น และกล้ามเนื้อต่างๆ ของร่างกาย
2. ศัลยแพทย์หัวใจ
องค์การอนามัยโลกรายงานว่า “โรคหัวใจ”
เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของประชากรก่อนวัยอันควร มาเป็นอันต้นๆ
ของโลกเลยก็ว่าได้ โดยมีผู้เสียชีวิตจากโลกหัวใจสูงขึ้นถึงปีละ 17 ล้านคนจากทั่วโลก
และยังมีอัตราเพิ่มขึ้นทุกปีด้วย จึงทำให้แพทย์ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคหัวใจเป็นที่ต้องการมากขึ้นทุกวัน
3. ศัลยแพทย์ทั่วไป
ศัลยแพทย์ทั่วไป (General Surgeon) หรือที่เรียกกันภาษาชาวบ้านว่า “หมอผ่าตัด” จัดว่าเป็นหมอที่มีรายได้สูงมากอีกหนึ่งสาขาวิชาก็ว่าได้ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการทำงานภายใต้ความกดดันและแข็งขันกับเวลา
เพราะทุกนาทีหมายถึงชีวิตของผู้ป่วยที่ฝากเอาไว้ในมือของหมอ โดยที่ศัลยแพทย์สามารถแบ่งย่อยออกไปได้อีกหลายแขนงด้วยกัน เช่น ประสาทศัลยแพทย์ (หมอผ่าสมอง) ศัลยแพทย์อุบัติเหตุ กุมารศัลยศาสตร์
(หมอผ่าตัดเด็ก) และอื่นๆ อีกมากมาย
4. วิสัญญีแพทย์
วิสัญญีแพทย์ (Anesthesiologist) หรือที่เรียกกันติดปากว่า “หมอดมยา หรือ หมอวางยาสลบ” ทำหน้าที่วางยาสลบ ยาชา บล็อกไขสันหลัง ฯลฯ เพื่อดูแลผู้ป่วยให้เกิดความเจ็บปวดน้อยที่สุดและปลอดภัยมากที่สุด
ทั้งในขณะผ่าตัดและหลังผ่าตัด วิสัญญีแพทย์ต้องเลือกยา
รวมถึงวิธีการให้เหมาะสมกับเคสและกายภาพของผู้ป่วย
มิฉะนั้นอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ แม้จะไม่ค่อยถูกพูดถึงมากสักเท่าไหร่
แต่อันที่จริงแล้ววิสัญญีแพทย์เป็นผู้ที่ปิดทองหลังพระ ทำงานหนักไม่แพ้หมอคนอื่นๆ
เลยทีเดียว
5. สูตินรีแพทย์
สูตินารีแพทย์ (Gynecologist) มีบทบาทในการทำคลอดและตรวจรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับสตรีโดยเฉพาะปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์
บางคนจึงมักเรียกพวกเขาว่า “หมอตรวจภายใน” โดยมีหน้าที่ครอบคลุมถึงการให้คำปรึกษาเรื่องการมีบุตรและการผ่าตัดต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะสืบพันธุ์ของผู้หญิงอีกด้วย
6. แพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ
หลายๆ คนอาจจะไม่เชื่อเลยว่า แพทย์ทางด้านโรคระบบทางเดินปัสสาวะ
จะสาขาที่ขาดแคลนและต้องการเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
แถมยังได้รับค่าตอบแทนที่สูงอีกด้วย โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในสาขานี้จะเรียกว่า “ศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ
(urologist)” จะหน้าที่ในการตรวจ วินิจฉัย และรักษาโรคเฉพาะทางระบบเดินปัสสาวะทั้งหมด
ระบบอวัยวะที่สำคัญภายในคือ “ตับและไต”โดยที่ใครจะเลือกเรียนต่อแพทย์ในสาขานี้
ต้องทำการศึกษาเกี่ยวกับโรคทั้งหมดที่ส่งผลกระทบต่ออวัยวะทั้งตับและไตให้ได้มากที่สุด
นอกจากนี้ยังต้องเรียนรู้เกี่ยวกับระบบอวัยวะสืบพันธุ์ทั้งหมดของเพศชายด้วย ได้แก่
องคชาติ อัณฑะ ถุงอัณฑะ ท่ออสุจิ ต่อมลูกหมาก และถุงน้ำกาม
เพราะเมื่อผู้ชายที่ป่วยเป็นโรคทางเดินปัสสาวะเรื้อรัง ก็จะส่งผลต่อระบบไตอีกด้วย
7. ศัลยแพทย์ช่องปาก
ศัลยแพทย์ช่องปาก (Oral and Maxillofacial Surgeons) เป็นส่วนหนึ่งของวิชาชีพทางด้านทันตแพทย์
ที่ลงลึกเฉพาะทางเกี่ยวกับการผ่าตัดเพื่อรักษาความผิดปกติของขากรรไกร ใบหน้า
ปากแหว่งเพดานโหว่ ดูแลระบบบดเคี้ยวอาหาร และการทำหน้าที่ของอวัยวะภายในช่องปาก ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดกระดูกขากรรไกร ผ่าตัดฝังรากฟันเทียมต่างๆ ปลูกฟัน
ผ่าตัดเนื้องอกในช่องปาก หรือแม้แต่การเตรียมความพร้อมก่อนใส่ฟันปลอม
ก็ล้วนเป็นงานของศัลยแพทย์ช่องปากทั้งสิ้น
8. รังสีแพทย์ :
รังสีวิทยา
หลายๆ คน ต้องเคยได้ยินคำว่า “เอ็กซเรย์” กันอยู่บ่อยครั้ง
เมื่อเวลาป่วยไม่สบายแล้วไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล เพื่อตรวจหาสิ่งที่อยู่ในร่างกาย
ที่จะส่งผลทำให้เราป่วยได้ แต่น้อยคนมากที่จะรู้ว่าแพทย์เฉพาะทางที่เรียนมาในสาขานี้จริงๆ
แล้วจะต้องเรียกว่า “รังสีแพทย์” จัดอยู่ในสาขารังสีวิทยา (radiology)
ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างภาพสิ่งต่างๆ
ของร่างกายเพื่อใช้ในการวินิจฉัยโรค โดยจะต้องอาศัยเครื่องมือพิเศษต่างๆ
ทางการแพทย์ข้ามาช่วย ได้แก่ รังสีเอกซ์ (x-ray),
รังสีแกมมา (Gamma ray) จากสารกัมมันตภาพรังสีคลื่นเสียง,
คลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasound) และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
(Nuclear Magnetic Resonance Imaging) เป็นต้น
9. แพทย์เฉพาะทางด้าน
ตา หู คอ จมูก
อย่างที่เรารู้กันว่า ตา หู คอ จมูก
เป็นอวัยวะที่มีความสำคัญต่อร่างกายและการดำรงชีวิตเป็นอย่างมาก โดยที่อวัยวะเหล่านี้มีความซับซ้อน
และต้องการความละเอียดละอ่อนในการดูแลเป็นพิเศษ
ซึ่งเมื่ออวัยวะเหล่านี้เกิดผิดปกติขึ้นมาก ก็อาจจะสร้างความทุกข์ ทรมาน
และความเจ็บปวดให้ผู้ที่ป่วยได้อย่างมากเลยทีเดียว ดังนั้นผู้ที่ให้คำตอบและคำปรึกษาในการรักษาได้ดีที่สุดก็คือ
แพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขา “โสตศอนาสิกวิทยา (Otolaryngology)” หน้าที่สำหรับแพทย์ในสาขานี้ ได้แก่ ต้องทำการวินิจฉัยและรักษาความผิดปกติของหู จมูก
กล่องเสียงหรือช่องคอ ศีรษะ และคอ โดยโรคที่เจอได้บ่อยๆ ก็คือ โรคไซนัสอักเสบ โรคนอนกรน โรคหูน้ำหนวก เจ็บในลำคอ ต่อมไทรอยด์ หรือโรคภูมิแพ้หู
คอ จมูก เป็นต้น
10. ศัลยกรรมตกแต่ง
ซึ่งแน่นอนว่า ในบรรดาสาขาวิชาที่เลือกเรียนแพทย์นั้น
เป็นอะไรที่ค่อยข้างยาก แต่ก็ได้รับค่าตอบแทนสูงมากเลยทีเดียว
และแน่นอนว่าในยุคปัจจุบัน ผู้คนต่างก็เริ่มยอมรับกับการทำศัลยกรรมพลาสติกกันมากยิ่งขึ้น โดยที่ “Plastic
Surgery” คือ แขนงวิชาเฉพาะสาขาของ
“ศัลยศาสตร์ (Specialized Branch of Surgery)” ศึกษาในเรื่องความผิดปกติของรูปร่าง
ผิวหนัง รวมทั้งระบบกล้ามเนื้อและโครงร่างของร่างกาย
ซึ่งในความจริงแล้วศัลยแพทย์ตกแต่ง มีขอบข่ายในการทำงานที่กว้างมาก
ไม่ใช่เฉพาะเสริมจมูก หรือทำตาสองชั้น
เพียงเท่านั้น
ขอบขอบคุณข้อมูลจาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น