การเข้าศึกษาต่อ
คณะเภสัชศาสตร์
เกณฑ์คัดเลือก
![]() |
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น |
เรียนอะไรบ้าง
ในชั้นปีที่ 1-2 จะเป็นการศึกษาด้านเตรียมเภสัชศาสตร์
จะศึกษาในหมวดวิชาพื้นฐานทั่วไป ประกอบด้วยวิชาในด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ความรู้เกี่ยวกับวิชาชีพเบื้องต้น
ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์พื้นฐาน และ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ
ในชั้นปีที่ 3-4 จะเป็นการศึกษาวิชาเฉพาะทางเภสัชศาสตร์
จะศึกษาในหมวดวิชาวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐาน ชีวเภสัชศาสตร์ กายวิภาคศาสตร์
สรีรวิทยา สาธารณสุข หลักในการเกิดโรค และจุลชีววิทยา และศึกษาวิชาทางด้านวิชาชีพ
ทฤษฎี ปฏิบัติการ และการฝึกงาน ประกอบไปด้วย เภสัชวิเคราะห์ เภสัชศาสตร์สัมพันธ์
อาหารและเคมี โภชนาการศาสตร์ บทนำเภสัชภัณฑ์ เภสัชพฤกษศาสตร์
ชีวเภสัชกรรมและเภสัชจลนศาสตร์ เภสัชเวท เภสัชกรรมและการบริหารเภสัชกิจ
เภสัชวิทยาและเภสัชวิทยาคลินิก นิติเภสัชและจริยธรรม พิษวิทยา เภสัชอุตสาหกรรม
เภสัชเคมี และ การปฏิบัติฝึกงาน
ในชั้นปีที่ 5-6 จะเป็นการศึกษาในหมวดวิชาสาขาที่นักเรียนสนใจเน้นความชำนาญทางวิชาชีพ
มีให้เลือก 2 สาขา คือ
-สาขาวิชาเภสัชศาสตร์ ( สายผลิต ) โดยศึกษาในชั้นปีที่ 5 จะเน้นศึกษาในด้านการผลิตยา การค้นคว้าตัวยา และควบคุมคุณภาพมาตรฐานของยา
รวมถึงการวิจัยยาและคิดค้นสูตรยาใหม่ๆ
เภสัชกรทางด้านสาขานี้เหมาะกับสายงานในด้านการผลิต
ซึ่งส่วนมากจะทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมผลิตยา
-สาขาวิชาบริบาลเภสัชกรรม ( สายคลินิก )
จะเน้นในการศึกษาด้านการบริบาลเภสัชกรรมมากขึ้น
ในด้านการใช้ยาที่ถูกต้องและเหมาะสมกับผู้ป่วย
การแนะนำปรึกษาการใช้ยาที่ถูกต้องแก่ผู้ป่วย และการสร้างเสริมสุขภาพ
โดยจะศึกษาเนื้อหาเพิ่มอีก 1 ปี
เภสัชกรทางด้านสาขานี้เหมาะกับสายงานในด้านการบริบาล ซึ่งอาจจะทำงานในโรงพยาบาล
คลินิก ร้านยา สถานบริการสุขภาพ
มหาวิทยาลัยที่น่าสนใจ
เดิมชื่อมหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เป็นสถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐบาล
และเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งอยู่ถนนมิตรภาพ
ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น
มีจุดประสงค์เพื่อให้การศึกษาชั้นสูงขยายออกไปถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงประกอบพิธีเปิดเมื่อวันที่
20 ธันวาคม พ.ศ. 2510 และสถาปนาขึ้นเมื่อวันที่
25 มกราคม พ.ศ. 2509 ได้รับเลือกให้เป็น
1 ใน 9 มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ จาก
กระทรวงศึกษาธิการ ในปี พ.ศ. 2552
การจัดการเรียนการสอนนั้นครอบคลุมสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
วิทยาศาสตร์การแพทย์ การเกษตร มนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์
สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยระดับดีเลิศทางด้านการเรียนการสอน
และดีเยี่ยมทางด้านการวิจัย มหาวิทยาลัยขอนแก่นเปิดหลักสูตรรวมทั้งสิ้น 330
หลักสูตร แบ่งได้เป็นหลักสูตรระดับปริญญาเอก 72 หลักสูตร ปริญญาโท 129 หลักสูตร ปริญญาตรี 105
หลักสูตร ประกาศนียบัตรบัณฑิต 24 หลักสูตร
โดยสัดส่วนสาขาวิชาที่เปิดสอนระดับปริญญาตรีกับระดับบัณฑิตศึกษา เท่ากับ 3.0
: 7.0 และเป็นหลักสูตรนานาชาติ/ภาษาอังกฤษ ร้อยละ 11.21 มีนักศึกษาอยู่ในคณะและวิทยาลัยต่างๆ รวมแล้วประมาณ 40,000 คน และมีบุคลากรสายวิชาการ 2,075 คน
มีตำแหน่งทางวิชาการ ระดับศาสตราจารย์ 32 คน รองศาสตราจารย์ 508
คน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ 619 คน และอาจารย์ 916
คน มหาวิทยาลัยมีอัตราการสอบแข่งขันเข้าเรียนมากที่สุดในภูมิภาค
เป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐโดยเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทยที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นในส่วนภูมิภาคตามโครงการพัฒนาการศึกษาในส่วนภูมิภาค
พ.ศ. 2501 พร้อมทั้งได้มีการเรียกร้องให้ขยายการศึกษาระดับอุดมศึกษาออกสู่ภูมิภาค
โดยขอให้รัฐบาลจัดตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493
นำโดยนายกีและนางกิมฮ้อ นิมมานเหมินท์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ตั้งอยู่บริเวณเชิงดอยสุเทพ ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม
จังหวัดเชียงใหม่[3] ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 9 มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ จาก
กระทรวงศึกษาธิการ ในปี พ.ศ. 2552
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้รับการจัดอันดับเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ
3 ในด้านการเรียนการสอนของประเทศไทย และเป็นอันดับ 5
ในด้านการวิจัยของประเทศไทยโดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้จัดอันดับมหาวิทยาลัยของประเทศไทยใน
"โครงการฐานข้อมูลออนไลน์เพื่อประเมินศักยภาพของมหาวิทยาลัยไทย" เมื่อปี
พ.ศ. 2549
ปัจจุบันมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เปิดการเรียนการสอนใน
21 คณะ 2 วิทยาลัย บัณฑิตวิทยาลัย และมีสถาบันวิจัย 4
สถาบันโดยเปิดสอนในระดับปริญญาตรีมีหลักสูตรที่เปิดสอนในแต่ละคณะจำนวน 340
หลักสูตร โดยมีการจำแนกหลักสูตรออกเป็น หลักสูตรภาคปกติ หลักสูตรภาคพิเศษ
หลักสูตรนานาชาติ หลักสูตรต่อเนื่อง และหลักสูตรสาขาวิชาร่วม
หลักสูตรระดับปริญญาโท แบ่งเป็น 2 แผน คือ แผน ก และแผน ข
และหลักสูตรระดับปริญญาเอก แบ่งเป็น 2 แบบ คือ แบบ 1 เป็นการศึกษาที่เน้นการวิจัย
ที่ก่อให้เกิดความรู้ใหม่ และแบบ 2 เป็นการศึกษาที่เน้นการวิจัย
โดยมีการทำวิทยานิพนธ์ที่มีคุณภาพสูง และก่อให้เกิดความก้าวหน้าทางวิชาการ
และวิชาชีพ และศึกษากระบวนวิชาเพิ่มเติม
นับตั้งแต่การก่อตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่นับตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2507 ถึงปัจจุบัน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้มีอธิการบดีดำรงตำแหน่งมาแล้ว 15 คน
โดยอธิการบดีคนปัจจุบัน คือ ศาสตราจารย์คลีนิค นายแพทย์ นิเวศน์ นันทจิต
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ตั้งอยู่ในเขตปทุมวัน
กรุงเทพมหานคร ถือกำเนิดจาก
"โรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือน"
ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จัดตั้งขึ้นภายในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2442
พร้อมทั้งพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญ "พระเกี้ยว"
มาเป็นเครื่องหมายประจำโรงเรียน[11]
การดำเนินงานของโรงเรียนมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเป็นลำดับ จนกระทั่ง เมื่อวันที่
26 มีนาคม พ.ศ. 2459 (นับแบบเก่า) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงประดิษฐานขึ้นเป็นมหาวิทยาลัย และพระราชทานนามว่า
"จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย"
เพื่อเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์เฉลิมพระเกียรติแห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
สมเด็จพระบรมชนกนาถของพระองค์ นับตั้งแต่ พ.ศ. 2460 ถึงปัจจุบัน
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีผู้บัญชาการและอธิการบดีมาแล้ว 17 คน อธิการบดีคนปัจจุบัน
คือ ศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ
1 ของประเทศไทยจากหลายสถาบันจัดอันดับ ครอบคลุมทั้งด้านคุณภาพของมหาวิทยาลัย
คุณภาพบัณฑิต คุณภาพด้านการวิจัย ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย
คุณภาพด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมของมหาวิทยาลัยในเขตเมือง
และคุณภาพแยกตามรายวิชาอีก 27 รายวิชา
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 9 มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ จาก กระทรวงศึกษาธิการ ในปี
พ.ศ. 2552
และได้รับการรับรองมาตรฐานการศึกษาในระดับดีมากจากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา
(สมศ.) เป็นสมาชิกเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน (AUN) และเป็นมหาวิทยาลัยเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยที่เป็นสมาชิกของสมาคมมหาวิทยาลัยภาคพื้นแปซิฟิก
(APRU)ในส่วนของการรับบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษานั้นพบว่า
ผู้สมัครสอบที่ทำคะแนนรวมสูงสุดในแต่ละปีส่วนใหญ่เลือกเข้าศึกษาต่อในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่ใช้คำว่า
"นิสิต" เรียกผู้เข้าศึกษาในสังกัดของสถาบัน เพราะเมื่อแรกก่อตั้ง
ที่ตั้งของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยถือว่าอยู่ไกลจากเขตพระนครซึ่งเป็นศูนย์กลางความเจริญในขณะนั้น
จึงมีการสร้างหอพักเพื่อให้ผู้เข้าศึกษาสามารถพักอาศัยในบริเวณมหาวิทยาลัยและใช้คำว่า
"นิสิต" ในภาษาบาลีที่แปลว่า "ผู้อยู่อาศัย"
เรียกผู้เข้าศึกษา
ด้วยมีลักษณะเช่นเดียวกับการไปฝากตัวเป็นศิษย์และอยู่อาศัยกับสำนักอาจารย์ต่าง ๆ
ของนักเรียนในระบบการศึกษาแบบโบราณ เช่น
การฝากตัวเป็นศิษย์ที่สำนักของบาทหลวงหรือวิทยาลัยแบบอาศัยของมหาวิทยาลัยในยุโรป
ส่วนในประเทศไทย
นักเรียนจะไปฝากตัวที่วัดเป็นศิษย์ของพระและอาศัยวัดเป็นสถานที่ศึกษา ด้วยเหตุนี้
มหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษจึงใช้คำว่า "Matriculated
Studentที่แปลว่า
"นักศึกษาที่ได้รับเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแล้ว" เรียกผู้เข้าศึกษา
เช่นเดียวกับคำว่า "นิสิต"ทั้งนี้ ในอดีต
โรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือนใช้คำว่า "นิสิต"
เรียกผู้จบการศึกษาประโยคมัธยมศึกษาตอนปลายและเรียนเพื่อสอบวิชาเป็นบัณฑิต
แม้ว่าในปัจจุบันการคมนาคมจะสะดวกขึ้นอย่างมาก
เขตปทุมวันซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยเปลี่ยนแปลงไปเป็นย่านธุรกิจการค้าใจกลางกรุงเทพมหานคร
นิสิตไม่มีความจำเป็นต้องพักในหอพักนิสิตทุกคนอีกต่อไป
แต่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังคงใช้คำว่า "นิสิต" เรียกผู้เข้าศึกษา
เพื่อรำลึกถึงความเป็นมาของสถาบันเช่นเดิม[24]
เมื่อกล่าวถึงคำว่า
"สามย่าน" สามารถอนุมานถึงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้
เพราะอาณาเขตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยติดต่อกับสี่แยก 2 แห่ง
คือแยกสามย่านและแยกปทุมวัน
ทั้งสองแห่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของกรุงเทพมหานครและประเทศไทย
เป็นที่ตั้งของอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ สถาบันการเงิน พิพิธภัณฑ์
หอศิลป์และศูนย์การค้าหลายแห่ง[26] จนกลายเป็นภาพลักษณ์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและถูกใช้ในการแปรอักษรตอบโต้
ในงานงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ–ธรรมศาสตร์
ที่จัดขึ้นทุกปีระหว่างสองมหาวิทยาลัยเก่าแก่ของประเทศไทยคือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ที่สนามศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติ
พิธีพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกของประเทศไทยเกิดขึ้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ในวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2473
ถือเป็นพิธีสำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่มีขึ้นครั้งแรกในประเทศ
บุคคลสำคัญจากหลายสาขาอาชีพได้รับเชิญให้เข้าร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก อาทิ เอกอัครราชทูตจากนานาประเทศ
ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และตัวแทนองค์กรระหว่างประเทศ
ในการนี้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี
พระบรมราชินีเสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานปริญญาบัตร
ทำให้พิธีพระราชทานปริญญาบัตรเป็นการหน้าที่นั่งของพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์นับแต่นั้นเป็นต้นมา[29]
กล่าวคือหากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่สามารถเสด็จได้
ก็จะเป็นการถวายปฏิญญาต่อพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์และรับพระราชทานปริญญาบัตรจากผู้แทนพระองค์
ธรรมเนียมนี้ได้ใช้ปฏิบัติในสถาบันอุดมศึกษาอื่น ๆ ในเวลาต่อมา ทั้งนี้ปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีผลทางกฎหมายก่อนที่จะมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
พ.ศ. 2477ถึง 4 ปี เพราะมีพระบรมราชโองการประดิษฐานจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ.
2459 เป็นกฎหมายที่ให้สิทธิและอำนาจอันชอบธรรมแก่มหาวิทยาลัย
ในการประสาทปริญญาแก่นิสิตผู้สำเร็จการศึกษาอยู่ก่อนแล้ว
ปัจจุบัน
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยประกอบไปด้วย 19 คณะวิชา 1 สำนักวิชา
ครอบคลุมทั้งสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์สุขภาพ สังคมศาสตร์
และมนุษยศาสตร์ และมีหน่วยงานประเภท วิทยาลัย 3 แห่ง บัณฑิตวิทยาลัย 1 แห่ง สถาบัน
14 แห่ง และสถาบันสมทบอีก 2 สถาบันจำนวนหลักสูตรรวมทั้งสิ้น 506 หลักสูตร
ประกอบด้วย ระดับปริญญาตรี 113 หลักสูตร ระดับบัณฑิตศึกษา 393 หลักสูตร
ในจำนวนนี้เป็นหลักสูตรนานาชาติและหลักสูตรภาษาอังกฤษ 87 หลักสูตร
แนวทางด้านการทำงาน
Ø > เภสัชกรยา เภสัชกรประจำร้านยา
เภสัชกรในโรงพยาบาล
สั่งยาให้คนไข้ ตรวจสอบ เช็คสต๊อก ควบคุมรายการเข้าออกของยาในร้านยา โรงงานยาหรือโรงบาล มีรายละเอียดงานดังนี้
1. จ่ายยา ให้คำปรึกษากับคนไข้ทั่วไปเรื่องการใช้ยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทุกชนิด โดยทำงานในห้องแอร์ตลอดเวลา
2. จัดยา และจ่ายยา บางครั้งอาจตรวจน้ำตาล วัดความความดันโลหิต ให้คำปรึกษา ซักประวัติคนไข้ในโรงพยาบาล
3. จ่ายยา ให้คำแนะนำ ดูแลยาใช้ภายนอก ยาอันตราย ทั้งจำนวนยาให้พอเพียงต่อการใช้
4. จ่ายยา ตามใบสั่งแพทย์ และให้คำแนะนำ ดูแลยาใช้ภายนอก ยาอันตราย
( Rx,Px ย่อมาจาก Medical Prescribtion เอกสารที่แพทย์เขียนให้เภสัชกรสำหรับการจัดยาดูแลรักษาคนไข้ )
5. แนะนำ ให้คำปรึกษาด้านโรคและยา ให้กับผู้ป่วยที่เข้ามาที่ร้านพร้อมทั้งจัดและจ่ายยาให้กับผู้ป่วย
6. แนะนำผลิตภัณฑ์อาหารเสริม เวชสำอางค์ และให้คำปรึกษาเรื่องการใช้ยาที่ถูกต้อง
7. ดูแลและให้คำปรึกษาเป็นพิเศษเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและการใช้ยาสำหรับคนไข้โรคเรื้อรัง
8. ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพและความงาม เช่น ประเมินการแพ้ยา
9. สั่งยา และดูแลคลังยาภายในร้าน และบริหารรายรับ-รายจ่ายของร้านทั้งหมด
10. ดูแล และบริหารยอดขายยากับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารรวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับสุขภาพทุกชนิด
11. ทำเอกสารแนะนำเพื่อไม่ให้เกิดการใช้ยาผิดขนาด เนื่องจากเป็นยาบางชนิดที่มีความเสี่ยงสูง
12. ดูแลกระบวนการจัด-จ่ายยาผู้ป่วยนอกทั้งหมด
13. ดูแล sub-stock ยาและเวชภัณฑ์ ของห้องยาผู้ป่วยนอก
14. ให้คำปรึกษาและแนะนำการใช้ยาแก่ผู้ป่วย และบุคลากรหน่วยงานอื่นภายในโรงพยาบาล
- เงินเดือนภาครัฐ บวกค่าวิชาชีพและเงินประจำต่ำแหน่งรวม 16,800 บาท (ยังไม่รวมค่ากันดารและค่าเวร)
- เงินเดือนภาคเอกชน เงินเดือนเริ่มต้นในช่วง 25,000 - 38,000 บาท (FT/FULL TIME 8 - 10 ชม. ต่อวัน) ขึ้นกับรพ.
หากทำงานในบูทขายยาในห้างสรรพสินค้า เงินเดือนเริ่มต้นรวมค่าใบประกอบวิชาชีพ เริ่มต้น 27,000 บาท
- หากเปิดร้านยาของตนเอง จะมีรายได้ต่อเดือน ในช่วง 50,000 - 100,000 บาท แล้วแต่ทำเลที่ตั้งร้านยา
สั่งยาให้คนไข้ ตรวจสอบ เช็คสต๊อก ควบคุมรายการเข้าออกของยาในร้านยา โรงงานยาหรือโรงบาล มีรายละเอียดงานดังนี้
1. จ่ายยา ให้คำปรึกษากับคนไข้ทั่วไปเรื่องการใช้ยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทุกชนิด โดยทำงานในห้องแอร์ตลอดเวลา
2. จัดยา และจ่ายยา บางครั้งอาจตรวจน้ำตาล วัดความความดันโลหิต ให้คำปรึกษา ซักประวัติคนไข้ในโรงพยาบาล
3. จ่ายยา ให้คำแนะนำ ดูแลยาใช้ภายนอก ยาอันตราย ทั้งจำนวนยาให้พอเพียงต่อการใช้
4. จ่ายยา ตามใบสั่งแพทย์ และให้คำแนะนำ ดูแลยาใช้ภายนอก ยาอันตราย
( Rx,Px ย่อมาจาก Medical Prescribtion เอกสารที่แพทย์เขียนให้เภสัชกรสำหรับการจัดยาดูแลรักษาคนไข้ )
5. แนะนำ ให้คำปรึกษาด้านโรคและยา ให้กับผู้ป่วยที่เข้ามาที่ร้านพร้อมทั้งจัดและจ่ายยาให้กับผู้ป่วย
6. แนะนำผลิตภัณฑ์อาหารเสริม เวชสำอางค์ และให้คำปรึกษาเรื่องการใช้ยาที่ถูกต้อง
7. ดูแลและให้คำปรึกษาเป็นพิเศษเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและการใช้ยาสำหรับคนไข้โรคเรื้อรัง
8. ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพและความงาม เช่น ประเมินการแพ้ยา
9. สั่งยา และดูแลคลังยาภายในร้าน และบริหารรายรับ-รายจ่ายของร้านทั้งหมด
10. ดูแล และบริหารยอดขายยากับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารรวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับสุขภาพทุกชนิด
11. ทำเอกสารแนะนำเพื่อไม่ให้เกิดการใช้ยาผิดขนาด เนื่องจากเป็นยาบางชนิดที่มีความเสี่ยงสูง
12. ดูแลกระบวนการจัด-จ่ายยาผู้ป่วยนอกทั้งหมด
13. ดูแล sub-stock ยาและเวชภัณฑ์ ของห้องยาผู้ป่วยนอก
14. ให้คำปรึกษาและแนะนำการใช้ยาแก่ผู้ป่วย และบุคลากรหน่วยงานอื่นภายในโรงพยาบาล
- เงินเดือนภาครัฐ บวกค่าวิชาชีพและเงินประจำต่ำแหน่งรวม 16,800 บาท (ยังไม่รวมค่ากันดารและค่าเวร)
- เงินเดือนภาคเอกชน เงินเดือนเริ่มต้นในช่วง 25,000 - 38,000 บาท (FT/FULL TIME 8 - 10 ชม. ต่อวัน) ขึ้นกับรพ.
หากทำงานในบูทขายยาในห้างสรรพสินค้า เงินเดือนเริ่มต้นรวมค่าใบประกอบวิชาชีพ เริ่มต้น 27,000 บาท
- หากเปิดร้านยาของตนเอง จะมีรายได้ต่อเดือน ในช่วง 50,000 - 100,000 บาท แล้วแต่ทำเลที่ตั้งร้านยา
Ø เภสัชกรประจำโรงงาน เภสัชกรฝ่ายวิจัยและพัฒนา เภสัชกรฝ่ายผลิต เภสัชกรฝ่ายขึ้นทะเบียนตำรับยา
ทำหน้าที่วิจัยและพัฒนายาในโรงงาน ควบคุมและตรวจสอบคุณภาพของยาก่อนส่งออกไปจำหน่าย มีรายละเอียดงานดังนี้
1. ควบคุมกระบวนการผลิต
2. วางแผนกระบวนการผลิต และบรรจุหีบห่อของยา
3. ดูแลการเบิกวัตถุดิบสำหรับใช้ในกระบวนการผลิต
4. จัดสรร อบรม ฝึกปฏิบัติงานให้แก่พนักงานคัดสรรยา
5. จัดทำเอกสารสำหรับผลิตยาใหม่ และตรวจสอบความถูกต้องของการผลิต
6. จัดทำเอกสารและดำเนินการทดลองเกี่ยวกับ change control
7. จัดทำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการควบคุมการผลิต เช่น SOP, SD, Form, Master formula, Batch Processing Record
8 ดูแล ตรวจสอบความเรียบร้อยของสถานที่ที่ใช้ในการผลิตยาต่างๆ
9. ประสานงาน ติดต่อ ร่วมกับฝ่ายควบคุมคุณภาพ ฝ่ายประกันคุณภาพ ฝ่ายวิศวกรรม ฝ่ายวางแผน คลังสินค้า
10. ควบคุมและดูแลกระบวนการผลิตน้ำยาปราศจากเชื้อให้ถูกต้องตามหลัก GMP
11. รับผิดชอบควบคุมดูแล ตรวจสอบขบวนการผลิต (ชั่งวัตถุดิบ, ผสม, บรรจุ) ให้เป็นไปตามมาตรฐาน GMP
12. ตรวจสอบและแก้ไขเอกสาร SOP, BPR
13. ควบคุมดูแลการบรรจุผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป (packing) นอกเวลาทำการ (O.T.)
14. ดูแลติดต่อประสานงานการขอเอกสารสำหรับการขึ้นทะเบียนตำรับยากับบริษัทแม่ในต่างประเทศ
15. จัดเตรียมเอกสารสำหรับขึ้นทะเบียนตำรับยากับทาง อย.
ทำหน้าที่วิจัยและพัฒนายาในโรงงาน ควบคุมและตรวจสอบคุณภาพของยาก่อนส่งออกไปจำหน่าย มีรายละเอียดงานดังนี้
1. ควบคุมกระบวนการผลิต
2. วางแผนกระบวนการผลิต และบรรจุหีบห่อของยา
3. ดูแลการเบิกวัตถุดิบสำหรับใช้ในกระบวนการผลิต
4. จัดสรร อบรม ฝึกปฏิบัติงานให้แก่พนักงานคัดสรรยา
5. จัดทำเอกสารสำหรับผลิตยาใหม่ และตรวจสอบความถูกต้องของการผลิต
6. จัดทำเอกสารและดำเนินการทดลองเกี่ยวกับ change control
7. จัดทำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการควบคุมการผลิต เช่น SOP, SD, Form, Master formula, Batch Processing Record
8 ดูแล ตรวจสอบความเรียบร้อยของสถานที่ที่ใช้ในการผลิตยาต่างๆ
9. ประสานงาน ติดต่อ ร่วมกับฝ่ายควบคุมคุณภาพ ฝ่ายประกันคุณภาพ ฝ่ายวิศวกรรม ฝ่ายวางแผน คลังสินค้า
10. ควบคุมและดูแลกระบวนการผลิตน้ำยาปราศจากเชื้อให้ถูกต้องตามหลัก GMP
11. รับผิดชอบควบคุมดูแล ตรวจสอบขบวนการผลิต (ชั่งวัตถุดิบ, ผสม, บรรจุ) ให้เป็นไปตามมาตรฐาน GMP
12. ตรวจสอบและแก้ไขเอกสาร SOP, BPR
13. ควบคุมดูแลการบรรจุผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป (packing) นอกเวลาทำการ (O.T.)
14. ดูแลติดต่อประสานงานการขอเอกสารสำหรับการขึ้นทะเบียนตำรับยากับบริษัทแม่ในต่างประเทศ
15. จัดเตรียมเอกสารสำหรับขึ้นทะเบียนตำรับยากับทาง อย.
- เงินเดือนภาครัฐ บวกค่าวิชาชีพและเงินประจำต่ำแหน่งรวม 16,800 บาท (ยังไม่รวมค่ากันดารและค่าเวร)
- เงินเดือนภาคเอกชน เริ่มต้นในช่วง 20,000 - 30,000 บาท
- เงินเดือนภาคเอกชน เริ่มต้นในช่วง 20,000 - 30,000 บาท
Ø ผู้แทนยา ดีเทลยา
เชลล์ขายยา
สั่งยา เช็คสต๊อก อำนวยความสะดวกแก่แพทย์ด้านต่างๆ เพื่อเสนอขายยาแก่แพทย์ และโรงพยาบาล (ต้องมีรถยนต์)
มีรายละเอียดงานดังนี้
1. มีบุคลิกและท่วงทำนองในการเจรจาการนำเสนอ โดยเน้นการอธิบายถึงคุณภาพและการนำเสนอยาให้แก่แพทย์
2. ดีเทลยาสามารถที่จะเดินทางตามโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อเสนอขายยากับแพทย์ เภสัชกร เพื่อติดต่อการจัดซื้อยาให้โรงบาล
3. อธิบายข้อมูลยา คอยกระตุ้นเตือนแพทย์ให้จำตัวยาของบริษัท และการออกฤทธิ์ของยาตัวนั้นๆให้ได้เพื่อที่แพทย์จะสั่งยา
4. คอยตอบคำถาม และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับตัวยาที่ขายอยู่ให้กับแพทย์หรือเภสัชกรประจำรพ.ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
5. ดีเทลยาต้องเข้าใจในเทคนิคการขายต่างๆ และมีบุคลิกภาพและหน้าตาที่ดี เพื่อน่าสนทนาด้วย โดยจะมีฝ่ายฝึกอบรม คอยสอนวิธีการติดต่อและการขายให้ เช่น การสร้างบรรยากาศในการสนทนา การควบคุมการสนทนา การเสนอขาย การถามความต้องการ การขจัดข้อโต้แย้ง การปิดการขาย และการสร้างความสัมพันธ์
6. ดักรอแพทย์ในเวลาช่วงก่อนเข้าตรวจคนไข้ เพื่ออธิบายคุณสมบัติยา ก่อนแพทย์จะตรวจคนไข้ จะทำให้แพทย์จำชื่อยาได้ หรือหลังเวลาที่แพทย์ตรวจเสร็จ เพื่อให้แพทย์สามารถสั่งยาตัวดังกล่าวให้แก่คนไข้
7. ให้การอธิบายโดยเริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวเองว่าชื่ออะไร มาจากบริษัทใด และอาจโยนคำถามที่เป็นทั้งปลายปิด-ปลายเปิดเข้าไป เพื่อให้รู้หลักการทำงานของแพทย์แต่ละท่านว่ามีการทำงานยังไง เพราะบางครั้งแพทย์บางท่านก็จะเน้นเรื่องความสะดวกสบายในการใช้ยา ขณะที่บางท่านก็จะเน้นเรื่องของผลข้างเคียงของยา จากนั้นก็ตามด้วยประสิทธิภาพของยา ความแตกต่างกับคู่แข่ง และความคุ้มค่าของยาที่ให้ผลดีต่อคนไข้
6. ให้ความสะดวกแก่แพทย์ เช่น การรับส่ง การบริการด้านจัดหาอาหารหลัก-อาหารว่าง การแลกเงินตราต่างประเทศ หรือจองที่พักและตั๋วเครื่องบิน จ่ายค่าสาธารรนูปโภคต่างๆ รวมถึงการบริการรับหรือส่งแพทย์ที่สนามบิน
7. เดินทางเพื่อไปสัมมนาพร้อมกับแพทย์ หรือออกค่าใช้จ่ายการเดินทางเพื่อการศึกษาดูงานของแพทย์ในประเทศและต่างประเทศ โดยบริษัทยาเป็นผู้ออกให้
8. สามารถทำงานอิสระโดยไม่มี กำหนดเวลาตายตัว ขึ้นอยู่ว่าวางแผนจะไปโรงบาลเวลาไหน เวลาใด ไม่ต้องตอกบัตรเช้า-เย็น แต่ต้องเข้าสำนักงานใหญ่ เดือนละ 2-3 ครั้ง เพื่อประชุมหรือสรุปยอด แล้วแต่บริษัท เพื่อประชุมวางแผนการทำงานและการเดินทาง การบริหารข้อมูลเขตการขาย การจัดลำดับความสำคัญของลูกค้า และความถึ่ในการเข้าพบ
9. ต้องทำยอดขายยาตามเป้าหมายให้ได้ ตามพื้นที่โรงพยาบาลหรือยาที่ตนเองรับผิดชอบ แล้วแต่บริษัทกำหนดยอด
10. ต้องศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์ยาของตนเองอยู่เสมอ และมีผู้จัดการผลิตภัณฑ์ช่วยสอน อบรมให้ หากจบเภสัชหรือสายวิทยาศาสตร์ ก็จะเข้าใจข้อมูลได้ง่ายกว่า และมีโอกาศได้งานดีเทลย์ยาสูงกว่าอีกด้วย
11. ออกไปนำเสนอยากับแพทย์ และต้องปฏิบัติตามกฎของบริษัทยา โดยการการทำรายงาน สรุปผลการออกตลาด ความคิดเห็นของแพทย์ต่อตัวยา เพื่อนำไปปรับปรุงการทำงานต่อไป
12. รู้จักการวางแผนที่ดี และจัดการกับเวลาของตัวเองได้ดี เพราะเวลาทำงานไม่แน่นอน แล้วแต่ช่วงเวลาที่แพทย์สะดวก
13. ชอบการบริการลูกค้า รู้จักการดูแลเอาใจใส่ลูกค้า มีทักษะในการสื่อสารที่ดี มีความสามารถในการเจรจาต่อรอง
14. มีการทำงานเป็นทีม และมีไหวพริบ รู้จักการแก้ปัญหาต่างๆ โดยต้องปรึกษาหัวหน้างานเสมอ
15. มีความกระตือรือร้น ใฝ่รู้อยู่ตลอดเวลา สามารถสร้างแรงจูงใจและแรงขับดันให้กับตัวเอง เพื่อต่อสู้กับอุปสรรคได้ตลอดเวลา
16. มีความรู้และอธิบายเกี่ยวกับยาที่ทำการขายอย่างละเอียดได้ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างจากคู่แข่ง
17. สามารถปรึกษาเกี่ยวกับสุขภาพของตน กับแพทย์เฉพาะทางได้โดยตรง โดยไม่เสียเงิน
18. มีจริยธรรมในการทำการขายและการตลาดยา เช่นเดียวกับบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องมีจริยธรรมในการรักษาผู้ป่วย เนื่องจากเกี่ยวข้องกับชีวิตและความเป็นความตาย นอกเหนือจากกฎระเบียบที่สำคัญที่ของบริษัทเองแล้ว จะได้การฝึกอบรม คือ PReMA Code of Sales & Marketing Practices, IFPMA, ระเบียบการโฆษณาของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
- เงินเดือนภาคเอกชน เงินเดือนรวมค่าคอมมิทชั่น และค่าเสื่อมสภาพรถยนต์ที่ใช้ ช่วงเงินเดือน 40,000 - 80,000 บาท
อัตราเงินเดือนสูงสุด เมื่อสามารถทำยอดขายหรือการปิดยอดการขายได้ตามเป้าหมายที่บริษัทกำหนด
- บวกเงินเพิ่มเดือนละ 5,000 - 7,000 บาท (ค่าแขวนป้ายชื่อเภสัชในร้านยาต่างๆ เพื่อให้ผู้อื่นขายยาแทนเภสัชกรได้)
สั่งยา เช็คสต๊อก อำนวยความสะดวกแก่แพทย์ด้านต่างๆ เพื่อเสนอขายยาแก่แพทย์ และโรงพยาบาล (ต้องมีรถยนต์)
มีรายละเอียดงานดังนี้
1. มีบุคลิกและท่วงทำนองในการเจรจาการนำเสนอ โดยเน้นการอธิบายถึงคุณภาพและการนำเสนอยาให้แก่แพทย์
2. ดีเทลยาสามารถที่จะเดินทางตามโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อเสนอขายยากับแพทย์ เภสัชกร เพื่อติดต่อการจัดซื้อยาให้โรงบาล
3. อธิบายข้อมูลยา คอยกระตุ้นเตือนแพทย์ให้จำตัวยาของบริษัท และการออกฤทธิ์ของยาตัวนั้นๆให้ได้เพื่อที่แพทย์จะสั่งยา
4. คอยตอบคำถาม และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับตัวยาที่ขายอยู่ให้กับแพทย์หรือเภสัชกรประจำรพ.ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
5. ดีเทลยาต้องเข้าใจในเทคนิคการขายต่างๆ และมีบุคลิกภาพและหน้าตาที่ดี เพื่อน่าสนทนาด้วย โดยจะมีฝ่ายฝึกอบรม คอยสอนวิธีการติดต่อและการขายให้ เช่น การสร้างบรรยากาศในการสนทนา การควบคุมการสนทนา การเสนอขาย การถามความต้องการ การขจัดข้อโต้แย้ง การปิดการขาย และการสร้างความสัมพันธ์
6. ดักรอแพทย์ในเวลาช่วงก่อนเข้าตรวจคนไข้ เพื่ออธิบายคุณสมบัติยา ก่อนแพทย์จะตรวจคนไข้ จะทำให้แพทย์จำชื่อยาได้ หรือหลังเวลาที่แพทย์ตรวจเสร็จ เพื่อให้แพทย์สามารถสั่งยาตัวดังกล่าวให้แก่คนไข้
7. ให้การอธิบายโดยเริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวเองว่าชื่ออะไร มาจากบริษัทใด และอาจโยนคำถามที่เป็นทั้งปลายปิด-ปลายเปิดเข้าไป เพื่อให้รู้หลักการทำงานของแพทย์แต่ละท่านว่ามีการทำงานยังไง เพราะบางครั้งแพทย์บางท่านก็จะเน้นเรื่องความสะดวกสบายในการใช้ยา ขณะที่บางท่านก็จะเน้นเรื่องของผลข้างเคียงของยา จากนั้นก็ตามด้วยประสิทธิภาพของยา ความแตกต่างกับคู่แข่ง และความคุ้มค่าของยาที่ให้ผลดีต่อคนไข้
6. ให้ความสะดวกแก่แพทย์ เช่น การรับส่ง การบริการด้านจัดหาอาหารหลัก-อาหารว่าง การแลกเงินตราต่างประเทศ หรือจองที่พักและตั๋วเครื่องบิน จ่ายค่าสาธารรนูปโภคต่างๆ รวมถึงการบริการรับหรือส่งแพทย์ที่สนามบิน
7. เดินทางเพื่อไปสัมมนาพร้อมกับแพทย์ หรือออกค่าใช้จ่ายการเดินทางเพื่อการศึกษาดูงานของแพทย์ในประเทศและต่างประเทศ โดยบริษัทยาเป็นผู้ออกให้
8. สามารถทำงานอิสระโดยไม่มี กำหนดเวลาตายตัว ขึ้นอยู่ว่าวางแผนจะไปโรงบาลเวลาไหน เวลาใด ไม่ต้องตอกบัตรเช้า-เย็น แต่ต้องเข้าสำนักงานใหญ่ เดือนละ 2-3 ครั้ง เพื่อประชุมหรือสรุปยอด แล้วแต่บริษัท เพื่อประชุมวางแผนการทำงานและการเดินทาง การบริหารข้อมูลเขตการขาย การจัดลำดับความสำคัญของลูกค้า และความถึ่ในการเข้าพบ
9. ต้องทำยอดขายยาตามเป้าหมายให้ได้ ตามพื้นที่โรงพยาบาลหรือยาที่ตนเองรับผิดชอบ แล้วแต่บริษัทกำหนดยอด
10. ต้องศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์ยาของตนเองอยู่เสมอ และมีผู้จัดการผลิตภัณฑ์ช่วยสอน อบรมให้ หากจบเภสัชหรือสายวิทยาศาสตร์ ก็จะเข้าใจข้อมูลได้ง่ายกว่า และมีโอกาศได้งานดีเทลย์ยาสูงกว่าอีกด้วย
11. ออกไปนำเสนอยากับแพทย์ และต้องปฏิบัติตามกฎของบริษัทยา โดยการการทำรายงาน สรุปผลการออกตลาด ความคิดเห็นของแพทย์ต่อตัวยา เพื่อนำไปปรับปรุงการทำงานต่อไป
12. รู้จักการวางแผนที่ดี และจัดการกับเวลาของตัวเองได้ดี เพราะเวลาทำงานไม่แน่นอน แล้วแต่ช่วงเวลาที่แพทย์สะดวก
13. ชอบการบริการลูกค้า รู้จักการดูแลเอาใจใส่ลูกค้า มีทักษะในการสื่อสารที่ดี มีความสามารถในการเจรจาต่อรอง
14. มีการทำงานเป็นทีม และมีไหวพริบ รู้จักการแก้ปัญหาต่างๆ โดยต้องปรึกษาหัวหน้างานเสมอ
15. มีความกระตือรือร้น ใฝ่รู้อยู่ตลอดเวลา สามารถสร้างแรงจูงใจและแรงขับดันให้กับตัวเอง เพื่อต่อสู้กับอุปสรรคได้ตลอดเวลา
16. มีความรู้และอธิบายเกี่ยวกับยาที่ทำการขายอย่างละเอียดได้ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างจากคู่แข่ง
17. สามารถปรึกษาเกี่ยวกับสุขภาพของตน กับแพทย์เฉพาะทางได้โดยตรง โดยไม่เสียเงิน
18. มีจริยธรรมในการทำการขายและการตลาดยา เช่นเดียวกับบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องมีจริยธรรมในการรักษาผู้ป่วย เนื่องจากเกี่ยวข้องกับชีวิตและความเป็นความตาย นอกเหนือจากกฎระเบียบที่สำคัญที่ของบริษัทเองแล้ว จะได้การฝึกอบรม คือ PReMA Code of Sales & Marketing Practices, IFPMA, ระเบียบการโฆษณาของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
- เงินเดือนภาคเอกชน เงินเดือนรวมค่าคอมมิทชั่น และค่าเสื่อมสภาพรถยนต์ที่ใช้ ช่วงเงินเดือน 40,000 - 80,000 บาท
อัตราเงินเดือนสูงสุด เมื่อสามารถทำยอดขายหรือการปิดยอดการขายได้ตามเป้าหมายที่บริษัทกำหนด
- บวกเงินเพิ่มเดือนละ 5,000 - 7,000 บาท (ค่าแขวนป้ายชื่อเภสัชในร้านยาต่างๆ เพื่อให้ผู้อื่นขายยาแทนเภสัชกรได้)
ประวัติส่วนตัว
-ชื่อนายธนากร อุดนอก
อายุ 17 ปี ชื่อเล่น แบด
-กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนดอนเมืองทหารอากาศบำรุง
-วันเกิด 2 กรกฎาคม 2544